ความเข้ากันได้คืออะไร ?

คำถาม ความเข้ากันได้คืออะไร ? คำตอบ ความเข้ากันได้คือความพยายามที่จะประสานข้อเสนอด้านศาสนาที่เหตุการณ์ทุกอย่างถูกกำหนดไว้อย่างมีเหตุผล ที่อุทิศถวายพระเจ้า และหรือพระเจ้าทรงบัญชาไว้ (ต.ย. ความมุ่งมั่นตัดสินใจ ไม่ให้สับสนกับการมองโลกแง่ร้าย) โดยเจตจำนงเสรีของคนเรา ถูกประกาศไว้แต่ดั้งเดิมจากมุมมองด้านปรัชญาของพวกสโตอิกของกรีก และต่อมาโดยนักปรัชญามากมายเช่น โทมัส ฮอบส์ และเดวิด ฮูม และจากมุมมองด้านศาสนา โดยนักศาสนศาสตร์เช่น ออกัสติน แห่ง ฮิปโป และจอห์น คาลวิน กรอบความคิดของผู้ถือความเข้ากันได้ของเจตจำนงเสรี จะบอกว่า แม้เจตจำนงเสรีของคนเราดูเหมือนเข้ากันไม่ได้กับข้อเสนอเรื่องการมุ่งมั่นตัดสินใจ ทั้งสองฝ่ายนี้ยังคงอยู่และ “เข้ากันได้ดี” ต่อกันละกัน พื้นฐานของกรอบความคิดเรื่องเจตจำนงเสรีที่น่าเข้ากันได้ คือความมุ่งหมายที่ “ความตั้งใจ” ถูกกำหนดไว้ จากมุมมองด้านศาสนา ความหมายของความตั้งใจเป็นมุมมองตามพระคัมภีร์ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงมากมาย เรื่องบาปดั้งเดิมและความเสื่อมทรามด้านจิตวิญญาณของคนเรา ความจริงทั้งสองนี้ถอดความหมายของ “ความตั้งใจ” เนื่องจากคนเราได้ล้มลงในบาป “ตกเป็นเชลยบาป” เป็น “ทาสของบาป” และยอมจำนนต่อ “เจ้านาย” ของมันเท่านั้น ซึ่งก็คือความบาป กิจการ 8:23 “ด้วยเราเห็นว่าเจ้าจะต้องรับความขมขื่น และติดพันธนะแห่งความอธรรม” ยอห์น 8:34 “พระเยซูตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า…

คำถาม

ความเข้ากันได้คืออะไร ?

คำตอบ

ความเข้ากันได้คือความพยายามที่จะประสานข้อเสนอด้านศาสนาที่เหตุการณ์ทุกอย่างถูกกำหนดไว้อย่างมีเหตุผล ที่อุทิศถวายพระเจ้า และหรือพระเจ้าทรงบัญชาไว้ (ต.ย. ความมุ่งมั่นตัดสินใจ ไม่ให้สับสนกับการมองโลกแง่ร้าย) โดยเจตจำนงเสรีของคนเรา ถูกประกาศไว้แต่ดั้งเดิมจากมุมมองด้านปรัชญาของพวกสโตอิกของกรีก และต่อมาโดยนักปรัชญามากมายเช่น โทมัส ฮอบส์ และเดวิด ฮูม และจากมุมมองด้านศาสนา โดยนักศาสนศาสตร์เช่น ออกัสติน แห่ง ฮิปโป และจอห์น คาลวิน กรอบความคิดของผู้ถือความเข้ากันได้ของเจตจำนงเสรี จะบอกว่า แม้เจตจำนงเสรีของคนเราดูเหมือนเข้ากันไม่ได้กับข้อเสนอเรื่องการมุ่งมั่นตัดสินใจ ทั้งสองฝ่ายนี้ยังคงอยู่และ “เข้ากันได้ดี” ต่อกันละกัน

พื้นฐานของกรอบความคิดเรื่องเจตจำนงเสรีที่น่าเข้ากันได้ คือความมุ่งหมายที่ “ความตั้งใจ” ถูกกำหนดไว้ จากมุมมองด้านศาสนา ความหมายของความตั้งใจเป็นมุมมองตามพระคัมภีร์ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงมากมาย เรื่องบาปดั้งเดิมและความเสื่อมทรามด้านจิตวิญญาณของคนเรา ความจริงทั้งสองนี้ถอดความหมายของ “ความตั้งใจ” เนื่องจากคนเราได้ล้มลงในบาป “ตกเป็นเชลยบาป” เป็น “ทาสของบาป” และยอมจำนนต่อ “เจ้านาย” ของมันเท่านั้น ซึ่งก็คือความบาป

กิจการ 8:23 “ด้วยเราเห็นว่าเจ้าจะต้องรับความขมขื่น และติดพันธนะแห่งความอธรรม”

ยอห์น 8:34 “พระเยซูตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป”

โรม 6:14, 16-17 “เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า ถ้าท่านยอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น คือเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม แต่จงขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นทาสของบาป แต่บัดนี้ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้นซึ่งทรงให้ครอบครองท่าน

โดยตัวเอง แม้ว่าเจตจำนงของคนเรามี “อิสระ” ที่จะทำตามที่อยากทำ มันอยากปฏิบัติ ตามธรรมชาติของมัน และเพราะลักษณะความตั้งใจของผู้ที่ล้มลงในบาปนั้นก็ผิดบาป ทุกความตั้งใจของความคิดในใจของผู้ที่ล้มลงในบาปก็ “ยังคงบาปอยู่เรื่อยไป”

ปฐมกาล 6:5 “พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่อง ร้ายเสมอไป”

ปฐมกาล 8:21 “พระเจ้าทรงได้กลิ่นที่พอพระทัยแล้ว ทรงดำริในพระทัยว่า ‘เราจะไม่สาปแผ่นดินอีกต่อไป แม้ว่ามนุษย์ไม่ดี ถึงเค้าความคิดในใจของมนุษย์ล้วนแต่ชั่วตั้งแต่เด็กมา เราจะไม่ประหารสิ่งทั้งหลายที่มีชีวิตเหมือนอย่างที่เราได้กระทำแล้วนั้นอีก”

โดยธรรมชาติเขาก็ขัดขืนต่อสิ่งนั้นซึ่งดีฝ่ายวิญญาณ

โรม 8:7-8 “เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า หาได้อยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัติของพระเจ้าไม่ และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัตินั้นไม่ได้ และคนทั้งหลายที่อยู่ใต้เนื้อหนัง จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้”

1โครินธ์ 2:14 “แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ”

สุภาษิต 17:11 “คนชั่วร้ายก็แสวงแต่การกบฏ แต่จะมีผู้สื่อสารดุร้ายไปสู้เขา” โดยพื้นฐานแล้ว คนเรามี “เสรี”

ที่จะทำตามที่เขาปรารถนา และเขาทำดังนั้น แต่คนเราgเพียงแต่ไม่สามารถทำสิ่งที่ตรงข้ามกับธรรมชาติของเขา สิ่งที่คนเรา “ตั้งใจ” จะทำ ขึ้นอยู่กับหรือถูกกำหนดโดยธรรมชาติของเขา

เท่านั้น ที่นี่คือที่ซึ่ง ความเข้ากันได้ทำให้เกิดความแตกต่างเด่นชัดระหว่างคนเราที่มีเจตจำนงเสรี และการเป็น “ตัวแทนอิสระ” คนเรามี “เสรี” ที่จะเลือกสิ่งนั้นที่ถูกกำหนดโดยธรรมชาติของเขา หรือโดยกฎต่างๆ ของธรรมชาติ เพื่อแสดงตัวอย่าง กฎต่างๆ ของธรรมชาติห้ามคนไม่ให้บินได้ แต่นี้ไม่ได้หมายความว่าคนเราไม่มีอิสระ ตัวแทน คนเรา มีอิสระที่จะทำสิ่งนั้นซึ่งธรรมชาติของเขา หรือกฎต่างๆ ของธรรมชาติยอมให้เขาทำ พูดตามหลักศาสนา แม้คนเราตามธรรมชาติไม่สามารถยอมนับถือพระบัญญัติของพระเจ้า และไม่สามารถมาถึงพระคริสต์ เว้นแต่พระบิดาทรงนำเขามาถึงพระองค์ คนเราตามธรรมชาติยังคงทำอะไรได้อย่างเสรี สอดรับกับธรรมชาติของเขา

โรม 8:7-8 “เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า หาได้อยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัติของพระเจ้าไม่ และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัตินั้นไม่ได้ และคนทั้งหลายที่อยู่ใต้เนื้อหนัง จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้”

ยอห์น 6:44 “ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา จะทรงชักนำให้เขามาและเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย”

เขาระงับความจริงในการอธรรมได้อย่างเสรีและอย่างแข็งขัน เนื่องจากธรรมชาติของเขาไม่ยอมให้เขาสามารถทำอย่างอื่นได้

โรม 1:18 “เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอา ความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง”

โยบ 15:14-16 “มนุษย์เป็นอะไรเล่า เขาจึงจะสะอาดได้ หรือเขาผู้เกิดมาโดยผู้หญิงเป็นอะไร เขาจึงชอบธรรมได้ ดูเถิด พระเจ้ามิได้ทรงวางใจในเทพเจ้าของพระองค์ เออ ในสายพระเนตรของพระองค์ ฟ้าสวรรค์ก็ไม่สะอาด ผู้ที่น่าเกลียดน่าชังและเสื่อมทราม ผู้ดื่มความผิดบาปเหมือนดื่มน้ำ จะสะอาดน้อยยิ่งกว่านั้นเท่าใด”

เพลงสดุดี 14:1-3 “คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า “ไม่มีพระเจ้า” เขาทั้งหลายก็เลวทรามลง กระทำกิจการที่น่าเกลียดน่าชัง ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูลูกหลานของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาดที่เสาะแสวงหาพระเจ้า เขาทั้งหลายหลงเจิ่นไปหมด และเลวทรามลงเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย”

เพลงสดุดี 53:1-3 “คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า “ไม่มีพระเจ้า” เขาทั้งหลายก็เสื่อมทรามกระทำ ความบาปผิดที่น่าเกลียดน่าชัง ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดูบุตรชายทั้งหลายของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาด ที่เสาะหาพระเจ้า เขาทั้งหลายก็ถดถอยไปหมด เขาทั้งหลายก็เสื่อมทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย

เยเรมีย์ 13:23 “คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณของตนเองได้หรือ หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่ว จะมากระทำความดีก็ได้”

โรม 3:10-11 “ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า”

ทั้งสองตัวอย่างที่ดีในคำยืนยันของพระเยซูด้านกรอบความคิดนี้ สามารถอ่านพบได้ในพระธรรมมัทธิว

มัทธิว 7:16-27 “ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนาม ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้ ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา ‘มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ’ เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’ ‘เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง’”

มัทธิว 12:34-37 “โอ ชาติงูร้าย เจ้าเป็นคนชั่ว แล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้น พูดจากสิ่งที่มาจากใจ คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา ฝ่ายเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดในถ้อยคำเหล่านั้น ในวันพิพากษา เหตุว่าที่เจ้าจะพ้นโทษได้ หรือจะต้องถูกปรับโทษนั้น ก็เพราะวาจาของเจ้า”

โดยความแตกต่างอย่างเด่นชัดระหว่างตัวแทนอิสระ และเจตจำนงเสรีที่นิยามไว้ ความเข้ากันได้จัดการปัญหาลักษณะของหน่วยงานอิสระของคนเราโดยนับถือข้อเสนอด้านศาสนา ที่รู้จักว่าเป็นหลักมุ่งมั่นตัดสินใจ และหรือความจริงตามพระคัมภีร์ของพระลักษณะของพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้ทุกอย่าง ปัญหาขั้นพื้นฐานคือ คนเราสามารถรับผิดชอบการประพฤติของเขาได้อย่างไร ถ้าเขามักทำการประพฤตินั้นเสมอๆ (ต.ย. อนาคตไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง) และไม่อาจเป็นสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าจะมีเนื้อหาพระคัมภีร์หลากหลายตอนที่กล่าวถึงประเด็นนี้ มีเนื้อหาพระคัมภีร์ขั้นพื้นฐานสามตอนที่ใช้ตรวจสอบ

เรื่องราวของโยเซฟและพี่น้องของเขา

เรื่องแรกเป็นเรื่องราวของโยเซฟและพี่น้องของเขา โยเซฟถูกพี่น้องของเขาเกลียดชังเพราะบิดาของพวกเขา คือยาโคบ รักโจเซฟมากกว่าบุตรชายคนอื่น ๆ ของท่าน และเพราะความฝันของโยเซฟและการแปลความฝันของพวกเขา

ปฐมกาล 37:3, 5-11 “ฝ่ายอิสราเอลรักโยเซฟมากกว่าบุตรทั้งหมดของท่าน เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อบิดาแก่แล้ว บิดาทำเสื้อยาวมีแขนให้แก่โยเซฟ คราวหนึ่งโยเซฟฝัน แล้วเล่าให้พวกพี่ชายฟัง พวกพี่ชายยิ่งชังโยเซฟมากขึ้น โยเซฟเล่าว่า ‘ฟังความฝันซึ่งฉันฝันเห็นซิ พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้น ฟ่อนข้าวของฉันตั้งขึ้นยืนตรง แต่ฟ่อนข้าวของพวกพี่ๆมาแวดล้อมกราบ ไหว้ฟ่อนข้าวของฉัน’ พวกพี่ชายจึงถามโยเซฟว่า ‘เจ้าจะปกครองเรากระนั้นหรือ เจ้าจะมีอำนาจครอบครองเราหรือ’ พวกพี่ชายก็ยิ่งชังโยเซฟมากขึ้นอีกเพราะความฝัน และเพราะคำของเขา ต่อมาโยเซฟก็ฝันอีก จึงเล่าให้พี่ชายฟังว่า ‘ฉันฝันอีกครั้งหนึ่ง เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวสิบเอ็ดดวงกำลังกราบไหว้ฉัน’ เมื่อเล่าให้บิดาและพวกพี่ชายกับน้องฟัง บิดาก็เตือนโยเซฟว่า ‘ความฝันที่เจ้าได้ฝันเห็นนั้นหมายความว่าอะไร เรากับมารดาและพี่น้องของเจ้าจะมาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เจ้ากระนั้นหรือ’ พวกพี่ชายอิจฉาโยเซฟ บิดาก็นิ่งตรองเรื่องนี้อยู่แต่ในใจ”

พอถึงเวลาที่เหมาะสม พี่น้องของโยเซฟได้ขายเขาเป็นทาสให้กับพ่อค้าชาวมีเดียนที่เดินทางผ่าน แล้วพวกเขาก็เอาเสื้อคลุมของเขาจุ่มในเลือดแพะที่ถูกฆ่า เพื่อที่จะหลอกบิดาของพวกเขา ให้คิดว่าโยเซฟถูกสัตว์ร้ายตะปบจนตาย

ปฐมกาล 37:18-33 “เมื่อพวกพี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกลยังมาไม่ถึง เขาก็พากันคิดปองร้ายจะฆ่าเสีย เขาพูดกันว่า “เจ้าช่างฝันมานี่แล้ว มาเถิด ให้พวกเราฆ่ามันเสีย แล้วทิ้งลงไว้ในบ่อบ่อหนึ่ง เราจะว่าสัตว์ร้ายกัดกินมันเสียแล้ว เราจะดูว่าความฝันนั้นจะเป็นจริงได้อย่างไร’ ฝ่ายรูเบนพอได้ยินดังนั้น ก็อยากช่วยโยเซฟให้พ้นมือพวกพี่ชายจึงพูดว่า ‘เราอย่าฆ่ามันเลย’ รูเบนเตือนเขาว่า ‘อย่าทำให้โลหิตไหล จงทิ้งมันในบ่อนี้ในถิ่นทุรกันดาร อย่าแตะต้องน้องเลย” ทั้งนี้เพื่อจะช่วยน้องให้พ้นมือเขา แล้วจะได้ส่งกลับไปยังบิดา ครั้นโยเซฟมาถึงพวกพี่ชาย เขาก็จับโยเซฟถอดเสื้อออกเสีย คือเสื้อยาวมีแขนที่สวมอยู่ แล้วเอาโยเซฟไปทิ้งลงในบ่อ บ่อนั้นไม่มีน้ำ ขณะที่นั่งรับประทานอยู่เขาเงยหน้าขึ้น เห็นคนอิชมาเอลบรรทุกต่างมาจากเมืองกิเลอาด มีฝูงอูฐบรรทุกยางไม้ พิมเสนและเปลือกไม้ชะมดเอาเดินทางไปยังอียิปต์ ยูดาห์จึงพูดกับน้องว่า “หากเราฆ่าน้องและซ่อนโลหิตไว้จะมีประโยชน์อันใดเล่า มาเถิด ให้เราขายน้องแก่พวกอิชมาเอลโดยไม่แตะต้องเขา เพราะเขาก็เป็นน้องและเป็นเลือดเนื้อของเราเหมือนกัน” พี่น้องทั้งปวงก็เชื่อ ขณะนั้นพวกพ่อค้าชาวมีเดียนกำลังผ่านมา เขาก็ฉุดโยเซฟขึ้นจากบ่อ ขายให้แก่คนอิชมาเอลเป็นเงินยี่สิบเชเขล คนอิชมาเอลก็พาโยเซฟไปยังอียิปต์ ฝ่ายรูเบนเมื่อกลับมาถึงบ่อนั้นเห็นว่าโยเซฟมิได้อยู่ในบ่อนั้น ก็ฉีกเสื้อผ้า แล้วกลับไปหาพวกน้องบอกว่า ‘เด็กนั้นหายไปเสียแล้ว แล้วฉันจะไปที่ไหนเล่า’ พวกเขาก็เอาเสื้อของโยเซฟมา และฆ่าแพะผู้ตัวหนึ่ง จุ่มเสื้อของโยเซฟลงในเลือด แล้วก็ส่งเสื้อยาวที่มีแขนนั้นไปยังบิดา บอกว่า “พวกเราได้พบเสื้อตัวนี้ ขอพ่อจงพิจารณาดูว่า ใช่เสื้อลูกของพ่อหรือไม่’ บิดาตรวจดูแล้วร้องว่า “นี่เป็นเสื้อลูกเรา สัตว์ร้ายกัดกินเขาเสียแล้ว โยเซฟลูกเราย่อยยับเสียแล้วเป็นแน่”

หลังจากหลายปีผ่านไป ในระหว่างที่โยเซฟมีความสุขพราะพระเจ้า พี่น้องโยเซฟได้มาพบเขาในประเทศอียิปต์ และโยเซฟเปิดเผยตัวเองให้พวกเขาทราบ

ปฐมกาล 45:3-4 “โยเซฟบอกพวกพี่น้องว่า “เราคือโยเซฟ บิดาเรายังมีชีวิตอยู่หรือ” ฝ่ายพวกพี่น้องไม่รู้ที่จะตอบประการใด เพราะตกใจกลัวที่เผชิญหน้ากับโยเซฟ
โยเซฟจึงบอกพี่ชายว่า ‘เชิญเข้ามาใกล้เราเถิด’ เขาก็เข้ามาใกล้ แล้วโยเซฟว่า “เราคือโยเซฟน้องที่พี่ขายมายังอียิปต์”

มันเป็นการพูดคุยของโยเซฟกับพี่น้องของเขา ที่เข้ากับประเด็นนี้มากที่สุด:

“ดังนั้นแล้วมันไม่ได้เป็นผู้ที่ส่งฉันที่นี่ แต่พระเจ้า เขาทำให้ฉันพ่อของฟาโรห์องค์พระผู้เป็นเจ้าของครัวเรือนทั้งหมดของเขาและผู้ปกครองอียิปต์ทั้งสิ้น “(ปฐมกาล 45:8)

สิ่งที่ทำให้คำกล่าวนี้น่าตกใจ คือว่า ก่อนหน้านี้โยเซฟได้กล่าวว่า แท้จริงพี่ชายของเขาได้ขายเขาไปอยู่ในอียิปต์

ปฐมกาล 45:4-5 “โยเซฟจึงบอกพี่ชายว่า ‘เชิญเข้ามาใกล้เราเถิด’ เขาก็เข้ามาใกล้ แล้วโยเซฟว่า ‘เราคือโยเซฟน้องที่พี่ขายมายังอียิปต์ แต่บัดนี้อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต”

อีกสองสามบทต่อมา แนวคิดเรื่องความเข้ากันได้ก็ได้อธิบายให้ทราบ

“คุณตั้งใจที่จะเป็นอันตรายต่อผม แต่พระเจ้าตั้งใจมันให้ดีเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ตอนนี้กำลังทำประหยัดของชีวิตจำนวนมาก” (ปฐมกาล 50:20)

เรื่องราวในปฐมกาลบอกเราว่า ในความเป็นจริง คือว่าพวกพี่น้องนั่นเองที่ได้ขายโยเซฟไปอยู่ในอียิปต์ อย่างไรก็ตาม โยเซฟกล่าวชัดเจนว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น บรรดาผู้ปฏิเสธแนวคิดของความเข้ากันได้จะบอกว่า ข้อนี้เพียงแต่ระบุว่าพระเจ้า “ทรงใช้” การกระทำของพี่น้องของโยเซฟเพื่อให้เกิดผลดี อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่เนื้อหาบอกไว้ จากปฐมกาลบทที่ 45-50 เราถูกสอนว่า (1) พี่ชายของโยเซฟได้ส่งโยเซฟไปอยู่อียิปต์ (2) พระเจ้าทรงส่งโยเซฟไปอยู่อียิปต์ (3) พี่น้องของโยเซฟมีเจตนาชั่วร้ายในการส่งโยเซฟไปยังอียิปต์และ (4) พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่ดีในการส่งโยเซฟไปยังอียิปต์ ดังนั้นคำถามคือว่า ใครล่ะส่งโยเซฟไปยังอียิปต์ คำตอบที่น่าสับสนงุนงงคือ ทั้งฝ่ายพี่น้องของโยเซฟและพระเจ้าได้ทรงกระทำ มันเป็นการกระทำหนึ่งที่ดำเนินการโดยทั้งสองฝ่าย พี่น้องของเขาและพระเจ้ากระทำมันไปพร้อม ๆ กัน

การงานที่อัสซีเรียต้องรับผิดชอบ

เนื้อหาตอนที่สองที่เผยให้เห็นว่า ความเข้ากันได้อ่านพบได้ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ 10 เนื้อหาพระธรรมที่เตือนให้ทราบคำทำนายที่มีต่อประชากรของพระเจ้า ตามพระสัญญาจากพระเจ้าในเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 28-29 พระเจ้าทรงส่งชนชาติหนึ่งเพื่อที่จะลงโทษประชากรของพระองค์เพราะความบาปที่พวกเขาทำ

อิสยาห์ 10:6-7 “เราจะใช้เขาไปสู้ประชาชาติที่ปฏิเสธพระเจ้า เราจะบัญชาเขาให้ไปสู้ชนชาติที่เรากริ้ว ไปเอาของริบและฉวยของปล้น และให้เหยียบย่ำลงเหมือนเหยียบเลนในถนน แต่เขามิได้ตั้งใจอย่างนั้น และจิตใจของเขาก็มิได้คิดอย่างนั้น แต่ในใจของเขาคิดจะทำลาย และตัดประชาชาติเสียมิใช่เล็กน้อย”

ข้อนี้กล่าวว่าอัสซีเรียเป็นตะบองแห่งความกริ้วของพระเจ้า “ถูกบัญชาการ” ให้ต่อสู้กับประชากรของพระเจ้า เพื่อที่จะ ” ไปเอาของริบและฉวยของปล้นเหมือนเหยียบเลนในถนน” อย่างไรก็ตาม สังเกตสิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับอัสซีเรีย

พระประสงค์ที่พระเจ้าทรงใช้ชนชาติอัสซีเรียมารุกราน คือเพื่อพระองค์ทรงพิพากษาอันชอบธรรมต่อความบาป และความตั้งใจของชนชาติอัสซีเรียคือ “ทำลายและลบล้างหลายๆ ชนชาติ”

วัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันทั้งสอง เอกลักษณ์ที่แตกต่างกันทั้งสอง ทำให้เกิดวัตถุ ประสงค์นี้ขึ้น เป็นหนึ่งเดียว การกระทำอันเดียวกัน เมื่อเราอ่านต่อไปอีก พระเจ้าทรงเปิดเผยว่า แม้ว่าการทำลายครั้งนี้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยและทรงบัญชาเอง พระองค์ก็จะทรงลงโทษชนชาติอัสซีเรีย

อิสยาห์ 10:12, 15, 23 “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำเร็จพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ที่ภูเขา ศิโยนและที่เยรูซาเล็มแล้ว พระองค์จะทรงลงทัณฑ์แก่ ความโอ้อวดอันจองหองของพระราชาแห่งอัสซีเรีย และความเย่อหยิ่งอย่างยโสของเขา เหล็กสะกัดจะคุยข่มคนที่ใช้มันสกัดนั้นหรือ หรือเลื่อยจะทะนงตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยนั้นหรือ เหมือนกับว่าตะบองจะยกผู้ซึ่งถือมันขึ้นตี หรืออย่างไม้พลองจะยกผู้ที่มิใช่ไม้ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาจะทรงกระทำให้สิ้นสุดลงตาม ที่กำหนดไว้แล้วในท่ามกลางแผ่นดินโลกทั้งสิ้น”

แม้ว่าพระเจ้าเองได้ทรงตัดสินพระทัยโดยไม่ผิดพลาดในการพิพากษาบรรดาคนที่ไม่เชื่อฟัง พระองค์ทรงถือว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ที่สมควรต้องถูกพิพากษาเพราะการประพฤติของตนเอง

การตรึงกางเขนพระเยซูคริสต์

เนื้อความตอนที่สามของพระคัมภีร์ที่พูดถึงความเข้ากันได้ เราอ่านพบได้ในพระธรรมกิจการ

กิจการ 2:23-25 “พระเยซูนี้ทรงถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าได้ทรงดำริแน่นอนล่วงหน้าไว้ก่อน ท่านทั้งหลายได้ให้คนอธรรมจับพระองค์ไปตรึงที่กางเขนและประหารชีวิตเสีย พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้พระองค์คืนพระชนม์ ด้วยทรงกำจัดความเจ็บปวดแห่งความตายเสีย เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้ เพราะกษัตริย์ดาวิดได้ทรงกล่าวถึงพระองค์ว่า ‘ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรง หน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะว่าพระองค์ประทับที่มือขวาของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะมิได้หวั่นไหว”

กิจการ 4:23-28 “เมื่อเขาปล่อยท่านทั้งสองแล้ว ท่านจึงไปหาพวกของท่าน เล่าเรื่องทั้งสิ้นที่พวกมหาปุโรหิต และพวกผู้ใหญ่ได้ว่าแก่ท่าน เมื่อเขาทั้งหลายได้ฟังจึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก ทะเลและสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น พระองค์ตรัสไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยปากของดาวิดบรรพบุรุษของเรา ผู้รับใช้ของพระองค์ ว่า ‘เหตุใดชนต่างชาติจึงหยิ่งยโส และชนชาติทั้งหลายปองร้ายกันเปล่าๆ บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตัวขึ้น และนักปกครองชุมนุมกัน ต่อสู้พระเจ้าและผู้รับการเจิมของพระองค์’

ความจริงในเมืองนี้ ทั้งเฮโรด และปอนทัส ปีลาตกับพวกต่าง ชาติและชนชาติอิสราเอล ได้ชุมนุมกันต่อสู้พระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ ของพระองค์ซึ่งทรงเจิมไว้แล้ว ให้กระทำสิ่งสารพัดตามที่พระหัตถ์ และพระดำริของพระองค์ได้กำหนดตั้งแต่ก่อนมาแล้ว ให้เกิดขึ้น ความตายของพระคริสต์บนกางเขนได้เกิดขึ้นตาม “แผนที่กำหนดไว้แล้วและการทรงล่วงรู้ของพระเจ้า” ข้อนี้จะเปิดเผยต่อไปว่าการกระทำของเฮโรด ปอนติอุส ปิลาต คนต่างชาติและชนชาติอิสราเอล ถูกตัดสินและบัญชาโดยพระเจ้าเอง ให้เกิดขึ้น เมื่อพวกเขา “ชุมนุมกันต่อต้าน” พระเยซูและได้ทำ “สิ่งที่มีอำนาจและพระประสงค์ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดขึ้น” แม้ว่าพระเจ้าทรงกำหนดว่า พระคริสต์ต้องสิ้นพระชนม์ บรรดาผู้ที่รับผิดชอบต่อความตายของพระองค์ก็ยังคงรับผิดชอบต่อการกระทำของพวกเขา พระคริสต์ทรงถูกประหารให้ตายโดยคนชั่ว

อิสยาห์ 53:10 “แต่ก็ยังเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ท่านฟกช้ำ ด้วยความเจ็บไข้ เมื่อพระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ท่านจะเห็นพงศ์พันธุ์ของท่าน ท่านจะยืดวันทั้งหลายของท่าน น้ำพระทัยของพระเจ้าจะเจริญขึ้นในมือของท่าน”

อีกครั้งหนึ่ง คำตอบของคำถามที่ว่า “ใครฆ่าพระเยซู” ทั้งพระเจ้าและคนชั่วทั้งสองฝ่าย—เป้าหมายทั้งสองฝ่ายการกระทำโดยทั้งสองฝ่ายภายในปฏิบัติอันเดียวนั้น

มีเนื้อหาพระคัมภีร์ตอนอื่น ๆ ที่เหมาะกับแนวคิดเรื่องความเข้ากันได้เช่น พระเจ้าทรงทำให้แต่ละบุคคลต่างๆ มีใจแข็งกระด้าง

อพยพ 4:21 “พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า ‘เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ จงกระทำอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งเรามอบไว้ในอำนาจของเจ้าแล้วนั้นต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ไม่ยอมให้ประชากรไป”

โยชูวา 11:20 “เพราะเป็นมาจากพระเจ้า ที่ทรงให้เขามีใจแข็งกระด้าง เข้าต่อสู้ทำสงครามกับอิสราเอล เพื่อเขาจะได้ถูกทำลายเสียสิ้น และไม่ได้รับความกรุณา แต่ต้องถูกทำลายล้างเสียสิ้น ดังที่พระเจ้าบัญชาไว้กับโมเสส”

อิสยาห์ 63:17 “ข้าแต่พระเจ้า ไฉนพระองค์ทรงกระทำให้ ข้าพระองค์ทั้งหลายผิดไปจากพระมรรคาของพระองค์ และกระทำใจของข้าพระองค์ ให้แข็งกระด้างจนข้าพระองค์ไม่ยำเกรงพระองค์ ขอพระองค์ทรงกลับมาเพื่อเห็นแก่บรรดา ผู้รับใช้ของพระองค์ คือเผ่าทั้งหลายอันเป็นมรดกของพระองค์”

ในขณะที่ความเข้ากันได้ดูเหมือนว่า ทำให้เราสับสนงุนงง

โยบ 9:10 “ผู้ทรงกระทำมหกิจเหลือที่จะเข้าใจได้ และการอัศจรรย์อย่างนับไม่ถ้วน”

อิสยาห์ 55:8-11”เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา” พระเจ้าตรัสดังนี้ ‘เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น’ ‘เพราะฝนและหิมะลงมาจากฟ้าสวรรค์ และไม่กลับที่นั่นเว้นแต่รดแผ่นดินโลก กระทำให้มันบังเกิดผลและแตกหน่อ อำนวยเมล็ดแก่ผู้หว่านและอาหาร แก่ผู้กินฉันใด คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเรา จะไม่กลับมาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น”

โรม 11:33 “โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้”

ความจริงข้อนี้ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าเอง ว่าอำนาจสูงสุดที่พระองค์ทรงบัญชาจะประสานคล้องกับความตั้งใจของคนเรา พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

เพลงสดุดี 115:3 “แต่พระเจ้าของเราทั้งหลายอยู่ในฟ้าสวรรค์ สิ่งใดที่พระองค์พอพระทัยพระองค์ก็ทรงกระทำ”

ดาเนียล 4:35 “สำหรับพระองค์ชาวพิภพทั้งสิ้นนับว่าไม่มีค่า ท่ามกลางชาวสวรรค์นั้นพระองค์ทรงกระทำตาม ชอบพระทัยพระองค์ และท่ามกลางชาวพิภพด้วย และไม่มีผู้ใดยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ได้ หรือตรัสถามพระองค์ได้ว่า “พระองค์ทรงกระทำสิ่งใด”

มัทธิว 10:29-30 “นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้ ถึงผมของท่านทั้งหลาย ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น”

พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง

โยบ 37:16 “ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้”

เพลงสดุดี 147:5 “องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราใหญ่ยิ่งและทรงฤทธานุภาพอุดม ความเข้าใจของพระองค์นั้นวัดไม่ได้”

1 ยอห์น 3:19-20 “ถ้าใจของเรากล่าวโทษตัวเราเมื่อไร เราก็จะรู้ว่า เราอยู่ฝ่ายสัจจะและใจเราจะหมดกังวลจำเพาะพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”

คนเราจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขากระทำ

ปฐมกาล 18:25 “ขอพระองค์อย่าคิดที่จะกระทำเช่นนั้นเลย อย่าคิดที่จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม ทำกับคนชอบธรรมอย่างเดียวกับคนอธรรม ขอพระองค์อย่าทรงทำเช่นนั้นเลย พระองค์ผู้พิพากษาสากลโลกจะไม่กระทำสิ่งที่ยุติธรรมหรือ”

กิจการ 17:31 “เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต”

ยูดาส 1:15 “เพื่อทรงพิพากษาปรับโทษคนทั้งปวง และทรงกระทำให้ทุรชนทั้งปวง รู้สึกตัวถึงการอธรรมที่เขาได้กระทำด้วยใจชั่ว และรู้สึกตัวถึงการหยาบช้าทั้งหมด ที่ทุรชนคนบาปเหล่านั้นได้กล่าวร้ายต่อพระองค์”

แท้จริง ทางของพระองค์ลึกเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้

โยบ 9:10 “ผู้ทรงกระทำมหกิจเหลือที่จะเข้าใจได้ และการอัศจรรย์อย่างนับไม่ถ้วน”

โรม 11:33 “โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้”

ดังนั้นเราควรจะไว้วางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของเรา และอย่าพึ่งพาความเข้าใจของเราเอง

สุภาษิต 3:5-6 “จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น

[English]



[กลับสู่หน้าภาษาไทย]

ความเข้ากันได้คืออะไร ?

Similar Posts

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *